Uncle Remus! A Story about Cunning Animals, Slavery, and Southern Folklore

 Uncle Remus! A Story about Cunning Animals, Slavery, and Southern Folklore

“Uncle Remus” คือชื่อของชุดเรื่องสั้นที่รวบรวมโดย Joel Chandler Harris นักเขียนชาวอเมริกันในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าขานกันมาอย่างแพร่หลายในหมู่ชนชั้นทาสชาวแอฟริกันอเมริกันในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา และต่อมาได้รับการบันทึกและเผยแพร่โดย Harris ภายใต้ฉายา “Uncle Remus” ซึ่งเป็นตัวละครที่รู้จักกันดีในเรื่อง

Harris รวบรวมเรื่องราวเหล่านี้จากประสบการณ์ของเขาเองในฐานะเด็กชายที่โตขึ้นมาในจอร์เจีย และได้ฟังนิทานเหล่านี้จากผู้ใช้แรงงานผิวสีในไร่ฝ้าย เขาถูกดึงดูดด้วยความเฉลียวฉลาดและอารมณ์ขันของนิทานเหล่านี้ และเห็นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่น

“Uncle Remus” เป็นชุดเรื่องสั้นที่ประกอบด้วยนิทานเกี่ยวกับสัตว์ เช่น กระต่าย, สุนัขจิ้งจอก, หมี, และเต่า ซึ่งแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างโดดเด่น ตัวละครเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างกัน ตัวอย่างเช่น กระต่ายมักจะถูก चित्र portray เป็นผู้ฉลาดและมีเล่ห์กล ขณะที่สุนัขจิ้งจอกมักถูกมองว่าเป็นตัวละครที่เจ้าเล่ห์และไม่น่าไว้ใจ

นิทานเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงชีวิตของชาวแอฟริกันอเมริกันในยุคสมัยนั้นด้วย “Uncle Remus” แสดงให้เห็นถึงการต่อต้านความอยุติธรรมทางเชื้อชาติและการแสวงหาอิสรภาพ ตัวอย่างเช่น ในนิทาน “The Tar Baby” (กาวหินน้ำมัน) กระต่ายใช้วิธีการที่ฉลาดและมีเล่ห์กลเพื่อหลีกหนีจากสุนัขจิ้งจอก ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่แข็งแกร่งและรัดกุม

ความหมาย และ การวิเคราะห์ “Uncle Remus”

นิทาน ตัวละครหลัก อ่านได้จาก ความหมาย
The Tar Baby กระต่าย, สุนัขจิ้งจอก https://www.pitt.edu/~dash/uncle.html แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความอ่อนไหวของคนผิวสีในหน้าที่การถูกกดขี่
Brer Rabbit and the Briar Patch กระต่าย, สุนัขจิ้งจอก https://www.americanfolklore.net/folklore/2011/08/brer_rabbit.html แสดงถึงความสามารถในการเอาตัวรอดและการใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบ
The Wonderful Tar Baby Story กระต่าย, สุนัขจิ้งจอก https://www.gutenberg.org/files/14509/14509-h/14509-h.htm แสดงถึงความสำคัญของการคิดเชิงกลยุทธ์และการใช้สติปัญญาในการเอาชนะอุปสรรค

“Uncle Remus” เป็นงานวรรณกรรมที่สร้างข้อถกเถียงอย่างมาก เนื่องจากการนำเสนอภาพของคนผิวดำในยุคสมัยนั้น ซึ่งบางคนมองว่าเป็นการเสริมสร้างภาพลวงตาของความสุขในการเป็นทาส ในขณะที่คนอื่นๆ มองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม Afro-American

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด “Uncle Remus” ก็ยังคงเป็นผลงานวรรณกรรมที่สำคัญและมีอิทธิพลในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม Afro-American และเรื่องราวพื้นบ้านของสหรัฐอเมริกา

ประวัติความเป็นมาของ “Uncle Remus”

Joel Chandler Harris เริ่มต้นบันทึกเรื่องราวของ “Uncle Remus” ในช่วงปี 1870 โดยเขาได้ยินเรื่องราวดังกล่าวจากผู้ใช้แรงงานผิวสีในไร่ฝ้ายที่เขารู้จัก

Harris ตีพิมพ์นิทานเหล่านี้เป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์ Atlanta Constitution ระหว่างปี 1879 ถึง 1883 ก่อนที่จะรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้และตีพิมพ์เป็นเล่มชื่อ “Uncle Remus: His Songs and Stories” ในปี 1881

“Uncle Remus” กลายเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก

**การวิเคราะห์ “Uncle Remus” **

นิทานใน “Uncle Remus” มักจะจบลงด้วยบทเรียนทางศีลธรรม หรือข้อคิดเตือนใจ ตัวอย่างเช่น ในนิทาน “The Fox and the Grapes”, สุนัขจิ้งจอกที่ไม่สามารถไปถึงองุ่นบนกิ่งสูงจึงกล่าวว่าองุ่นนั้นย่อมไม่อร่อยอยู่แล้ว

นิทานเหล่านี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อและประเพณีของชาวแอฟริกันอเมริกันในยุคสมัยนั้น เช่น ความสำคัญของครอบครัว, การเคารพต่อผู้ใหญ่, และการเชื่อมั่นในพระเจ้า

“Uncle Remus” ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

“Uncle Remus” ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวัฒนธรรมสมัยนิยม และถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์, ละครเวที, และรายการโทรทัศน์

ตัวละครของ Uncle Remus ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องในชุดนิทาน ถูกนำมาใช้เป็นตัวละครหลักในภาพยนตร์แอนิเมชั่น Disney Classics “Song of the South” ในปี 1946

อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ “Song of the South” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเนื่องจากการเสนอภาพของคนผิวดำที่เป็นแบบแผนและไม่สมจริง

“Uncle Remus” เป็นชุดนิทานที่น่าสนใจและมีความซับซ้อน ซึ่งสะท้อนถึงชีวิตและวัฒนธรรมของชาวแอฟริกันอเมริกันในยุคสมัยนั้น แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการนำเสนอภาพของคนผิวดำในเรื่องราวเหล่านี้ แต่ “Uncle Remus” ก็ยังคงเป็นผลงานวรรณกรรมที่สำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากในสหรัฐอเมริกา